วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๕ …บทความทางวิชาการ… หมากรบสำคัญของ ธุรกิจไทยในตลาดอาเซียน คือการเตรียมกำลังพลให้พร้อม ทั้งความรู้ ทักษะ ตลอดจนทัศนคติต่องาน เพื่อรับมือกับการแข่งขันในสนาม AEC “ใน 3 ปีนี้ ไทยจะเกิดการเปลี่ยนอย่างมาก ตั้งแต่เรื่องเพื่อนบ้านเรา การทำงานของเรา สิ่งหนึ่งที่ต้องปรับตัวอย่างมากคือ เราเรียนรู้วัฒนธรรมตะวันตกค่อนข้างเยอะ แต่แทบไม่ได้เรียนรู้วัฒนธรรมของคนในอาเซียนเลย เพื่อนบ้านที่กำลังจะย้ายมาหาเรา เขาเป็นอย่างไร เราต้องรู้เขา รวมถึงทักษะทางด้านภาษา เรื่องนี้ถ้าไม่เปลี่ยนเราลำบากมาก” |
|
“กรกฎ ผดุงจิตต์” รองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ฉายภาพความท้าทาย ที่ซ่อนอยู่หลังม่านประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ซึ่งขยับใกล้เข้ามาในอีก 3 ปี ข้างหน้า บนเวทีเสวนา “การสร้างองค์กรแห่งความสุข (Happy Workplace) ในยุค 3.0” งาน “Happy Workplace Forum : 5 Apps to Happy Workplace 3.0” โดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ความท้าทายส่งสัญญาณให้พวกเราปรับตัวมาพักใหญ่แล้ว แต่นับถึงวันนี้ก็ใช่ว่าทุกองค์กรในบ้านเราจะพร้อม “ดร.ศิริลักษณ์ เมฆสังข์” อุปนายกสมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย โชว์ผลวิจัย เรื่องผลกระทบของ AEC ต่อการบริหารทรัพยากรมนุษย์ สิ่งที่พบคือ องค์กรที่พร้อมรับมือ AEC มีเพียง 56% เท่านั้น ! “การกำหนดกลยุทธ์เรื่องคนในองค์กร ให้มีวัฒนธรรมการอยู่ในโลกของความแตกต่าง เพราะ AEC เข้ามาเราต้องศึกษาเรื่องความแตกต่างในวัฒนธรรมกลุ่มประเทศอาเซียนให้ได้ ซึ่งความพร้อมตรงนี้เรามีอยู่แค่ 55% พอถามว่า AEC เข้ามาองค์กรควรปรับตัวอย่างไร ที่บอกว่าไม่รู้ไม่มีการเตรียมการมีถึง 10% ที่รู้แต่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยมี 26% ส่วนเพิ่งเริ่มดำเนินการแต่ยังไม่ประเมินผล มีถึง 36% นี่คือประเด็นที่น่าเป็นห่วง” การโยนคำถามจังๆ ให้กับหน่วยงานในบ้านเราทั้งภาครัฐและเอกชน ว่านับถึงวันนี้ เรามีความพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงแค่ไหน โดยเฉพาะการบริหาร “คน” ในองค์กร หัวใจของการสู้ศึกอาเซียน เราทำได้ดี มีประสิทธิภาพเพียงพอแล้วหรือไม่ “ในยุคของการสร้างทุนมนุษย์ เราไม่ได้พูดกันในเรื่องที่ ฝ่ายบุคคลต้องคอยเช็ควัน ขาด ลา มา สาย คอยจับผิด คอยลงโทษ แต่เราพูดกันถึงว่า จะทำอย่างไรที่จะสร้างทุนทางปัญญาให้เกิดขึ้นในองค์กร เราต้องพัฒนาคนของเรา ให้เริ่มจากรักการเรียนรู้” ดร.ศิริลักษณ์ เปิดความน่าสนใจไว้ พร้อมสะท้อนภาพผลวิจัยว่า คนทำงานส่วนใหญ่คิดเพียงว่า ต้องเรียนรู้เพื่อที่จะได้เงินเดือน ได้ทำงานตามนายสั่ง แต่ยังไม่คิดว่าต้องเรียนรู้เพื่อที่จะสร้างคุณค่าให้กับตัวเขา “บริบทของการพัฒนาคนจากนี้ต้องเปลี่ยนไป เราต้องเร่งช่วยสร้างให้คนเกิดการเรียนรู้ที่แท้จริง รักการเรียนรู้ เมื่อเรียนรู้แล้วก็แบ่งปันกัน ในแง่ผู้นำก็ต้องสนับสนุน และต้องลดการสั่งให้ทำ แต่เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน สร้างให้เกิดปัญญา ลดลำดับขั้นที่สูง ไม่เล่นพรรคเล่นพวก ทำอย่างไรให้องค์กรของเรามีความสุข เพื่อให้คนรักและผูกพันกับองค์กร กลับมาสร้างประสิทธิภาพ ประสิทธิผลให้องค์กร” ความเห็นดูจะสอดคล้องไปกับตัวแทนภาคอุตสาหกรรมอย่าง กรกฎ ที่บอกว่า การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุด คือทำอย่างไรที่จะเลิกเป็นระบบ “ผู้บริหารสั่งการ” แต่เป็นการร่วมแรงร่วมใจกันทำงานให้เกิดประสิทธิผล “ต่อไปนี้ฟลุคไม่มี เฮงไม่มี แต่ต้องเป็นการร่วมมือกันของทุกคน เป็นฝีมือล้วนๆ” ด้าน “ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์” ประธานสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา ตอกย้ำความสำคัญเรื่อง “คน” ว่าเป็นตัวต่อสู้ในยุคนี้ สำหรับการสร้างคนในมุมของเขา คือ ต้องสร้างความรู้ ทักษะ และบุคลิกลักษณะชีวิต “เราต้องสร้างคนที่รู้ทั้งลึกและกว้าง และรู้รอบ มีทักษะต่างๆ ที่รอบทิศ อย่างทักษะการคิด การบริหารตัวเอง บริหารองค์กร บริหารคนอื่น การตัดสินใจ บริหารความขัดแย้ง เป็นต้น และสุดท้ายคือ บุคลิกลักษณะชีวิต ซึ่งแต่ละชาติก็มีความเฉพาะตัวต่างกันไป อย่างเวียดนาม สุดขยัน เราไม่มีทางสู้ เป็นบุคลิกประจำชาติเขา ซึ่งเรื่องความขยัน ความรับผิดชอบ ความหนักเอาเบาสู้ เหล่านี้เป็นลักษณะชีวิต ที่เราต้องสร้างให้เกิดขึ้น” สามส่วนที่เขาฟันธงว่า สามารถสกัดจุดอ่อนให้คนไทยกลายเป็น “คนคุณภาพ” ขึ้นมาได้ นำไปสู่ประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงาน มีบุคลิกชีวิตที่ดี เป็นคนรักองค์กร ซึ่งเป็นแรงส่งสำคัญให้ธุรกิจแข่งขันได้ในยุคนี้ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ ถ้าเพียงองค์กร เริ่มจากทำให้คนมีความสุข “แรงจูงใจ” ที่จะนำมาสู่ การเรียนรู้ มุ่งมั่นตั้งใจทำงาน รักและผูกพันกับองค์กร พร้อมเคียงข้างองค์กรในทุกความเปลี่ยนแปลงที่เข้ามากระทบ “ความสุข จะนำมาซึ่ง Productivity เมื่อทุกคนมีความสุข ก็จะทำงานแบบเพลิดเพลิน และทำได้ดี ทำงาน 3 ชั่วโมง ก็เหมือน 3 นาที แต่ถ้ามีความทุกข์ 3 นาที ก็เหมือน 3,000 ปี ฉะนั้นเราต้องสร้างบรรยากาศความสุขให้เกิดขึ้น องค์กรนั้นก็จะเจริญ ชุมชน สังคม และประเทศก็จะเจริญตามไปด้วย” การสร้างองค์กรแห่งความสุข “กรกฎ” บอกว่า มีหลายแนวทางที่องค์กรสามารถทำได้ อย่างการสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงาน มีสิ่งอำนวยความสะดวกคนทำงาน ผลตอบแทนสมเหตุสมผล รับฟังความคิดเห็นของพนักงาน เปิดโอกาสให้พนักงานได้มีส่วนร่วมกับองค์กรเต็มที่ “ที่โรงงานเก่าของผม พนักงานได้นำเสนอวิธีการลดต้นทุนในโรงงาน ซึ่งทำให้ต้นทุนลดลงไปเยอะมาก แสดงว่าพนักงานท่านนั้นมีความสุขที่จะทำงาน และรู้สึกว่าได้รับการตอบแทนที่คุ้มค่า ได้นำเสนอความคิดดีๆ ให้กับองค์กร นี่เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และคนนี้ก็ก้าวจากวิศวกรธรรมดา ขึ้นเป็นผู้จัดการโรงงานไปแล้ว” เขายกตัวอย่างผลสะท้อนกลับขององค์กรแห่งความสุข ที่ธุรกิจได้ประโยชน์อย่างชัดเจน ด้าน ดร.ศิริลักษณ์ ชี้ประเด็นที่น่าสนใจว่า ถ้าจะเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร สร้างองค์กรแห่งความสุข เราต้องเปลี่ยนจากการที่คน “ทำงานอยู่ในความกลัว” ให้เป็นสภาพแวดล้อมของการ “ทำงานที่ฉันกล้าแสดงความเห็น” โดยผู้บริหารต้องเปิดใจกว้าง เปิดในเรื่องความคิด ให้เขาได้แสดงศักยภาพออกมา ทำตัวเป็นทั้งผู้ให้ และผู้รับ พร้อมเตรียมรับมือกับการเข้ามาของคนเจเนอเรชั่นใหม่ ที่ต้องเข้าใจความต่างจากคนรุ่นเก่า และต้องสร้างระบบที่ดีมารองรับ สำคัญกว่านั้นคือ เราต้องเพลาๆ การใช้นิสัยไท้ยไทย ใน 3 เรื่อง นั่นคือคำว่า “เกรงใจ” “การรักษาหน้า” และ “หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง” เพราะถ้านำมาใช้มากเกินไป ก็อาจถอดใจได้เหมือนกัน จากจุดแข็งที่มี ก็พร้อมจะกลายเป็นจุดอ่อนได้ทันทีกับนิสัยคุ้นชินเหล่านี้ สำหรับ “กรกฎ” ยังย้ำว่า ทัศนคติของคนทำงานสำคัญ องค์กรต้องสร้างทัศนคติที่ดีให้กับเขา ซึ่งสอดรับกับความคิดของ ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ ที่บอกเราว่า “งานหนักไม่เคยฆ่าใคร งานหนักที่มีความสุขทำให้ชีวิตมีคุณค่า แต่ถ้าทำงานแบบมีความทุกข์ มันหฤโหดกับชีวิตมาก ฉะนั้นเราต้องเปลี่ยนทัศนคติว่า ที่ทำงานเป็นที่ที่เรามีความสุขได้ และเมื่อความสุขเกิด ทัศนคติที่ดี สิ่งดีๆ ก็จะตามมาเอง” อีกสูตรรับมืออาเซียน ที่เริ่มได้ใน “องค์กรแห่งความสุข” |
Categories: บทความทางวิชาการ
0 Comments